
กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเรียกสมเด็จ พระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช รับทราบข้อกล่าวหา กรณีครอบครองรถยนต์โบราณรวม 2 ข้อหา
ได้แก่ ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดย รู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ ครบถ้วน ตามพ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ.2527 ม. 161(1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา ม.83
และร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.137, 267 ประกอบ ม.83
นัดประชุมร่วมกับอัยการเพื่อออกหมายเรียกแล้ว
ที่ผ่านมา มีผู้นำประเด็นดังกล่าวไปขยายผล จนน่าสังเกตว่ามุ่งหมายให้ส่งผลต่อเกียรติ ยศและความน่าเชื่อถือของผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช หรือไม่
ทั้งการยื่นคัดค้านและให้ตีความว่ามติมหาเถรสมาคมดังกล่าว กระทำโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
แม้สุดท้ายก็สรุปว่าไม่ได้ขัดต่อพ.ร.บ.คณะสงฆ์ แต่การนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ยังค้างอยู่ที่รัฐบาล ด้วยเหตุผลว่าต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะถ้าหากมีความผิดพลาด นายกรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบ
ทั้งๆ ที่ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อก็ยังไม่มีข้อหาใดๆ จนทำให้สังคมสงสัยว่าการถ่วงรั้งนี้มีเป้าหมาย
สถานการณ์ขณะนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ประมุขสงฆ์ สร้างความอึดอัดและความไม่สบายใจแก่คณะสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล จนมีสัญญาณว่าอาจมีความเคลื่อนไหวของพระสงฆ์และชาวพุทธ ครั้งใหญ่ทั้งในกรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัด
จึงได้แต่หวังว่าจะไม่ซ้ำรอยบาดแผลความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักรในอดีต กรณีพระพิมลธรรม (อาจ อาสภมหาเถระ) ที่ถูกเล่นงานด้วยคดีความมั่นคง และยัดเยียดครุกาบัติ ถึงขั้นปลดเปลื้องจีวรออกจากกาย คุมขังในเรือนจำสันติบาลอย่างยาวนาน
ด้วยอำนาจรัฐในขณะนั้น อันสร้างรอยแผลประวัติศาสตร์ให้แก่ศาสนจักร โดยไม่อาจลบเลือนได้
Source: http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1469614728
0 comments:
Post a Comment